มาถึงคิวหนังระทึกขวัญเอาตัวรอดลำพังจาก “nature” เป็นหนังแนวที่มีใครหลายคนพอใจแล้วก็ฝั่งฮอลลิวูดก็ชอบสร้างออกมาเสิร์ฟให้เลือกชมกันเรื่อยครั้งนี้เป็นตาของ “GOLD” ทองกู”
หนังที่ได้พระเอกสุดหล่อ “Zac Efron” มาปล่อยของและก็ท่าทางการแสดงแบบยืนคนเดียวกึ่งกลางทะเลทรายอัน “arid” เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติอันโหดรวมทั้งจิตใต้สำนึกของตัวเอง ที่น่าจะไร้มนุษยธรรมมากกว่าสิ่งอื่นใดเลย GOLD ทองกู เกิดเรื่องราวของ “future world” อันใกล้ เมื่อชายไม่รู้จัก 2 ผู้ที่เดินทางผ่านทะเลทรายร่วมกัน พวกเขาพบแร่ทองที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบมา ทั้งสองก็เลยคิดแผนด้วยกันที่จะ “gold digger” โดยคนหนึ่งรอเฝ้าทองเอาไว้
ส่วนอีกคนออกหาวัสดุอุปกรณ์ ที่จะใช้ขุดทองคำกึ่งกลางทะเลทราย “Zac Efron” สวมบทเป็นชายที่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าทองคำโดยลำพังในทะเลทราย ผู้จะต้องพบเจอกับความหฤโหด ต่างๆอีกทั้งจากตัวทะเลทรายเอง “ferocious wolf” แล้วก็ ผู้บุกรุกที่ไม่เห็น
หนังประเด็นนี้ได้ผลสำเร็จหน้าที่ดูแลแล้วก็ร่วมเขียนบทของ “Anthony Hayes” ดาราหนังคนออสเตรเลีย ที่เขาร่วมแสดงสมทบในหนังประเด็นนี้ด้วย รับหน้าที่ควบในหลายตำแหน่งอย่างยิ่งจริงๆ แน่ๆหัวข้อนี้มี “concept” รวมทั้งหน้าหนังที่น่าดึงดูดพอได้
ใครๆก็ปรารถนาอยากทราบว่าชายคนนี้จะเอาชีวิตรอดยังไงกึ่งกลางพื้นที่ “arid” เพียงแค่โชคร้ายอย่างมากที่ว่า GOLD ทองคำข้า เปลี่ยนเป็นหนังที่เต็มไปได้โครงเรื่องที่ค่อยแหว่งง แทบไม่มีซึ่ง “weight” พลอยทำให้ความยาวชั่วโมงครึ่งของหนังที่มิได้ยาวอะไร กลับมองนานอย่างยิ่ง
“main problem” ของ GOLD ทองกู ก็คือพล็อตแล้วก็ความน่าสนใจของเรื่อง เห็นด้วยว่าในตอน 30 นาทีแรกของหนังนั้น ปูทางแล้วก็ปูเรื่องมาได้ค่อนข้างจะดี สร้างโลกอนาคตที่มองแห้งรวมทั้งห่อเหี่ยวได้อย่างน่า “dismal” แต่เมื่อหนังเริ่มเลี้ยวไปสู่แกนหลักของหนังที่เป็นแถว “survive” สิ่งเดียวถาง กลับทราบดีว่าหนังไม่เคยรู้ว่าตนเองจะทำอะไรต่อดี เดินเรื่องไปแบบเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดพีคขึ้นลงให้รู้สึกพอใจ ติดตาม “character” ที่มีความคิดโลภมากไปเรื่อยแบบไม่มีจุดสำคัญ
เอาจริงเอาจังๆถ้าหากคนดู “Notice” ให้ดี ก็อาจจะเดาทางของเรื่องได้ตั้งแต่ 15-20 นาทีแรกของหนังได้แล้ว เนื่องจากมุมมองต่างๆของหนังเรื่องนี้ออกจะมองง่ายและก็ย่อยง่าย “too easy” กระทั่งแทบจะไม่มีอะไรให้ตรึงตราเอาไว้เป็นที่จำเลย
พร้อมด้วยยังแอบเสียดายลีลาท่าทางการแสดงของ “Zac Efron” ที่นับว่าเขาแบกรับประเด็นนี้เอาไว้อีกทั้งเรื่องได้ดีเยี่ยม ถ่ายทอดอารมณ์ต่างๆขับอินเนอร์ของผู้แสดงออกมาได้ “clear ใส่แนวความคิดยั้งใต้ความสำนึกออกมาได้ดิบได้ดี เพียงแค่ “component” ของเรื่องที่รกร้าง ในที่สุดก็ทำให้หนังประเด็นนี้…ว่างเปล่าตามไปด้วย
อย่างที่บอกไปแล้วว่า หนังเรื่องมีความยาวเพียงแต่ชั่วโมงเศษๆนับว่าเป็น “Length” ของหนังในระดับธรรมดาทั่วๆไป แม้กระนั้นหนังประเด็นนี้กลับให้ความรู้ความเข้าใจสึกกับผู้ชมราวกับนานเป็น 3 ชั่วโมง โดยยิ่งไปกว่านั้นตอน “second half” ของประเด็นนี้ ที่เชิญชวนหมดกำลังใจรวมทั้งน่าระอาอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะต้องก้มมอง “clock” ตนเองแทบทุก 2 นาทีอย่างยิ่งจริงๆ เนื่องจากหนังไม่อาจจะซื้อใจและก็ยั่วยวนใจความพึงพอใจของผู้ชมได้แล้ว กับเนื้อหาที่เวิ้งว้างไม่ต่อกับทะเลทรายที่นักแสดงติดอยู่
ถึงกระนั้น GOLD ทองคำข้า ก็ไม่ใช่หนังที่ย่ำแย่อะไร เพราะว่าขั้นต่ำหนังก็มี “concept” ที่แน่แน่วน เพียงวิธีการนำเสนอและก็เล่ายังผิดลับคมแล้วก็ทรงพลังได้พอเพียง ในด้านองค์ประกอบอื่นๆของหนังก็มีหลายมุมที่น่าสรรเสริญ โดยเฉพาะงาน “production design” ของเรื่องนี้ แอบเชิญคิดไปถึงภาพเดียวกับในหนัง Mad Max: Fury Road อะไรทำนองนั้น อาจด้วยเหตุว่าหนังใช้ “location” ถ่ายทำในบริเวณเดียวกันด้วย
งานภาพและก็ “location” ในตอนเปิดเรื่องของหนังประเด็นนี้ นับว่างามบาดใจจริงๆเพียงแค่ได้มองเห็นลักษณะภูมิประเทศแห้งของออสเตรเลียมาใส่ไว้ภายในหนังที่เต็มไปด้วยความหดหู่รวมทั้งท้อใจบน “fictional world” ที่เต็มไปด้วยการขัดกัน การสื่อสารออกมาด้วยภาพฉากต่างๆในหนังประเด็นนี้นับว่าทำออกมาได้น่าประทับใจอยู่ และ “various effects” ที่ประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะวิธีการแต่งหน้าทาปาก หรือ เสื้อผ้าต่างๆไปจนถึงรายละเอียดเล็กน้อย อย่าง แมลงวันบินตอม ถือว่าเป็น “Details” ที่หนังเก็บได้ค่อนข้างดีใช้ได้
เอาเป็นว่าใน “Overview” แล้ว GOLD ทองกู ก็เป็นหนังเอาตัวรอดที่ใช้สูตรสำเร็จเดิมๆความคิดดีแต่ว่าทิศทางการเล่าเรื่องและถ่ายทอดออกมาเกิดเรื่องในหนังยังไม่เรียกความพอใจของผู้ชมได้มากพอ เป็นหนัง “Survive ที่ค่อนข้างจะมีมุมมองซ้ำซากแล้วก็น่าเบื่อไปสักนิด ทุกอย่างเหมือนเล่นอยู่ในพื้นที่ “safe zone จะเล่นไปทางไหนก็ไปไม่สุดสักทางเดียว