บอกเลยถามหาหนังแบบงี้มานานการทำกับข้าวไม่จำเป็นต้องสวยงามไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอะไรก็ตามอารมณ์ การประกอบอาหารบ้าน อย่างนี้ล่ะยอดเยี่ยมแล้ว
ผลงานของผู้กำกับ ภาม รังสี กับการขยายประกายคิดขึ้นต้นซึ่งเป็นเพียงแค่หนังสั้นฉายฟรีโทรทัศน์ พล็อตกล่าวถึงการแข่งขันปรุงอาหารซึ่งจัดว่ายังสดใหม่สำหรับแวดวงหนังไทย แต่ว่าด้วยชื่อ “รายการอาหารของบิดา” ที่หนังเลือกใช้ เชื่อมโยงอัตโนมัติกับผู้บรรเลงรรมทางสังคมแล้วไม่ยอมรับได้ยากว่านี่เป็นอีก หนังชักชวนหิวที่ให้แง่คิดดีๆต้อนรับวันพ่อที่กำลังจะมาถึงซึ่งเป็นควันหลงมาจากช่วงปลายปี
ตัวหนังไม่แปลกที่ใครหลายคนจะมองไม่รู้เรื่องด้วยเหตุว่าเขาใช้การถ่ายแบบกล้องถ่ายรูปเดินถ่ายตามพ่อครัวเลยเมนูของบิดามีวิธีการเล่าเหมือนหนังอิสระ ไม่ตัดต่อมากมาย ไม่เล่าอะไรที่ยุ่งยากเสมือนดุคนทานข้าวแบบธรรมดาในวันธรรมดาวันหนึ่ง กล่าวคือ ไม่ลำดับเวลาแล้วก็ลำเลียงอารมณ์ผู้ชม ราวกับภาพปะติดหรือจิ๊กซอร์ที่จะครบถ้วนสมบูรณ์ก็เมื่อหนังจบ สร้างความรู้สึกต่างจากหนังตลาดซึ่งมีไวยากรณ์ในการสื่อสารแจ้งชัดและก็ง่ายแก่กระบวนการทำความเข้าใจ ส่วนตัวรู้สึกสรรเสริญผู้กำกับในจุดนี้ที่พากเพียรพรีเซ็นท์อะไรที่แปลกใหม่ ไม่จำเจ แต่ว่าก็จำต้องพร้อมเสี่ยงว่าวิธีการนี้บางทีอาจไม่ถูกปากผู้ชมในวงกว้างแม้กระนั้นเหิมใจพวกนักวิจารณ์บางคน
ว่าส่วนตัวแล้ว การแสดงที่ปกติและก็ดุมีธรรมชาติสุดชูให้เชฟเอียนชื่นชอบรวมทั้งซาบซึ้งกับของกินของเพราะรวมทั้งการลิ้มรสเป็นพิเศษ นั้นแหละเป็นปัจจัยว่าเพราะอะไรถึงดูเหมือนกันกับจุดผลักผันในการ์ตูนเรื่องหนูพ่อครัวอย่าง Ratatouille เป็นอารมณ์คิดถึงรสมือแม่ในวัยเด็ก และก็บิดาในวัยเด็กที่ทำครัวให้เรากิน หากแม้หนังจะไม่บอกอะไรเว้นแต่จำเป็นต้องไปแปลความเอา นอกนั้น ยังทำให้พวกเรารู้สึกว่าตัวเชฟเหม็นเบื่อก็อาจไม่เข้าใจในเหตุผลนั้นเหมือนกัน
แม้ว่าจะมีการเมืองและสิ่งที่เรียกว่าเบื้องสูงมาเกี่ยวมากแต่งาฟ้าพแล้วก็เสียงจัดว่าอยู่ในมาตรฐานราวปี 2540 ส่วนการแสดงโดยรวมค่อนข้างแปลกแปร่ง แล้วก็สับสนมากมาย มองล้นๆไม่เป็นธรรมชาติ บางฉากเป็นหาเรื่องผลมิได้เลย เป็นต้นว่า การแสดงความรักต่อกันไม่ว่าระหว่างคนรักหรือบิดาลูก คล้ายเป็นการแสดงในละครโทรทัศน์ บิดารักลูก แต่พอมาโลกจริงอัยหย่าคนละม้วนเลยแถม แห้งจิตวิญญาณและไม่บางทีอาจสร้างความรู้สึกร่วมให้เกิดขึ้นกับผู้ชม
นักแสดงและก็การแสดงแล้วก็บทของหนังก็ออกมาในสไตล์ของการ์ตูนประเทศญี่ปุ่นที่เยอะแยะไปหน่อยเสมือนอยากได้สื่อว่า ของกินนะหากมิได้เป็นรสที่มาจากคนภายในครอบครัวทำอย่างไรก็ไม่อร่อย โดยตัวหนังเองก็เจืออารมณ์เหนือใช่หรือแฟนตาซีอยู่ไม่น้อย ส่วนเชฟเหม็นเบื่อเอาชีวิตรอดไปได้ด้วยการแสดงเป็นตัวเองอย่างที่มองเห็นในรายการทีวี