Operation Mincemeat พลิกแผนรบลวงโลก กลยุทธของปฏิบัติการเชิงสงครามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้คำว่า “เฟคนิวส์” ในยุคปัจจุบันกลายเป็นคำศัพท์ที่มีนัยยะเชิงลบไปเสียแล้ว แต่ว่าคำคำนี้กลับเคยเป็นหนึ่งในกลยุทธของปฏิบัติการเชิงสงครามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก่อน รวมทั้งเป็นแผนที่เคยจุดประกายความพ่ายแพ้ของฮิตเลอร์เสียด้วย นั่นจึงเปลี่ยนมาเป็นการตีแผ่เรื่องราวในหนัง “Operation Mincemeat กลับแผนรบลวงโลก” หน้าฉากการรบด้วยข้อมูลเชิงสายลับสุดแยบยล ที่แทบจะหาจารึกประวัติศาสตร์อ่านไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุว่านี่คือปฏิบัติการลับๆที่โลกแทบจะไม่รู้จัก
Operation Mincemeat กลับแผนรบลวงโลก เล่าราวในการทำศึกที่ “ข้อมูล” คือสิ่งจำเป็นที่มีชัยเหนือกว่ายุทธการรบ เพียงแต่บิดเบือนหรือหลอกล่ออีกข้างให้หลงกล ก็อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ของการเป็นผู้ชนะได้อย่างง่ายๆ ทำให้งานนี้ทางกองทัพอังกฤษจึงจะต้องกลับวิกฤตภายใต้สถานการณ์ที่กำลังคุกรุ่นให้เป็นจังหวะ โดยการวางเป้าหมายที่ได้แรงบันดาลใจมาจากข้อมูลรั่วไหล ซึ่งหลุดไปยังฝั่งศัตรูจากศพของทหารที่มีข้อมูลการรบติดตัวอยู่ พวกเขาจึงผุดความนึกคิดสร้าง “ศพทหาร” ที่ตายขึ้นมา เพื่อส่งข่าวปลอมที่บางทีอาจจะรักษาชีวิตของทหารอังกฤษกว่า 1 แสนนายรวมทั้งประชาชนทั้งประเทศให้รอดพ้นจากการสู้รบอันโหดร้ายนี้
แก่นแท้ของหนังเรื่องนี้เป็นหนังสงครามก็จริง แต่ว่าถ้าว่าคุณจะมองหาฉากรบและก็ฉากต่อสู้ระเบิดตู้มตามอลังการบนจอ หนังเรื่องนี้น่าจะไม่สามารถตอบโจทย์ของคุณเช่นนั้นได้ ด้วยเหตุว่า Operation Mincemeat เป็นหนังดราม่าการสู้รบในรูปแบบเชิงปฏิบัติการทางข้อมูลแล้วก็สื่อสารเป็นข้างหลัง เจาะไปสู่วงในของกลุ่มกระทำการลับของกองกองทัพอังกฤษแล้วก็สัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพที่หนังปูทางออกมานั้น จึงกลายเป็นการระดมสมองรวมทั้งเจาะข้อมูลอย่างมีชั้นเชิงของแต่ว่าตัวละคร
ก็อยากรับว่า Operation Mincemeat อาจะไม่ใช่หนังสงครามเชิงข้อมูลที่เล่าได้ดีอะไรเลย หนังออกชวนน่าเบื่อในบางช่วงไปเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าเมื่อส่วนประกอบของเรื่องราวทุกส่วนที่เอามาใส่ผสมอยู่ในหม้อเดียวกันแล้ว จังหวะในตอนช่วงหลังของหนังก็ถือได้ว่าเป็นช่วงที่เข้มข้นแล้วก็สนุกสนานคล้อยตามเนื้อเรื่องไปได้อย่างง่ายดายเป็นหนังสงครามที่ไม่ได้มีฉากสงครามอะไร แต่ว่าสามารถสร้างอารมณ์ร่วมและก็กินใจได้ในระดับหนึ่ง
งานดูแลของ “จอห์น แมดเดน” (จาก Shakespeare in Love) ก็จัดว่าได้ตามมาตรฐาน ไม่มีอะไรที่ทำให้หวือหวาอะไรนัก จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ก็จะต้องยกให้กับทีมนักแสดงชั้นเยี่ยมจากทั่วฟ้าเมืองผู้ดีเขาเลย “โคลิน เฟิร์ธ” กับ “แมทธิว แม็กฟาเดียน” เป็น 2 หนุ่มที่ช่วยกันประคับประคองหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้อยู่มือ การแสดงแล้วก็การโอบอุ้มของพวกเขาช่วยยกระดับให้กับหนังได้ดี จากที่ออกจะจืดชืดค่อยดูมีอะไร
แม้ว่าจะเป็นหนังสงครามข้อมูลแน่นๆแต่ว่า Operation Mincemeat ก็พยายามที่จะใส่มุกตลกแล้วก็อารมณ์ขันเข้ามาในหนัง แต่ว่าโดยส่วนมากแล้วกลายเป็นจุดที่ทำให้มองไม่เข้ากับพวกไปสักนิด บางโอกาสก็ให้ความรู้สึกเหมือนว่าใส่เข้ามาแบบไม่รู้จักมารยาทอะไรทำนองนั้น แต่ว่าก็ยังไม่ใช้ส่วนประกอบที่ฉุดตัวหนังดิ่งลงไปสักเท่าไหร่ แต่ว่าเมื่อมาเจอพล็อตศึกชิงนางในหนังสงครามเข้าไป เห็นด้วยเลยว่า…จุดนี้ทำให้รู้สึกยิ่งไม่เข้าพวกรวมทั้งโดดเด้งแปลกจากทิศทางของหนังไปพอควร
ยิ่งไปกว่านี้ก็ยังมีอีกหนึ่งจุดที่หนังหยอดใส่เข้ามาเป็นกิมมิกและอีสเตอร์เอ้ก ที่ผู้ชมจะต้องคิดว่า “เข้าใจทำเนอะ” กับการหยอดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่้เชื่อมโยงไปสู่ตำนานสายของอังกฤษ อย่าง เจมส์ บอนด์ 007 ที่ในหนังสงครามเรื่องนี้เป็นเหมือนช่วยปฏิบัติหน้าที่เป็นสารเริ่มให้กับการเริ่มโครงการปั้นสายเบอร์สวยออกมา ที่ผู้ชมคงจะเพลิดเพลินกับข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่ถูกแทรกเข้ามา
สรุปว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น Operation Mincemeat กลับแผนรบลวงโลก ก็จัดได้ว่าเป็นหนังสงครามเชิงข้อมูลปฏิบัติงานที่ถ่ายทอดรวมทั้งทำออกมาได้น่าพอใจในระดับหนึ่ง บางทีอาจจะค่อนข้างไกลห่างความสมบูรณ์แบบ หนังเต็มไปด้วยข้อมูลที่พยายามกระชับแล้ว แต่ว่าก็สามารถกระชับได้เป็นความยาว 2 ชั่วโมงเช่นนี้ นี่คือเรื่องราวในการรบที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักนัก หนังเรื่องนี้จึงเหมือนมาเปิดประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์อีกมุมมอง หากว่าบทหนังและก็การเล่าเรื่องจะยังไม่ได้ดีนัก แต่ว่าพล็อตตลบตะแลงถือว่าเป็นตัวเชื่อมที่สนุกสนาน รวมทั้งทีมนักแสดงเรื่องนี้ยังจะต้องยกนิ้วให้อยู่